STAO
อยากอบรม จป หัวหน้างานแบบออนไลน์ต้องเตรียมตัวอย่างไรบ้าง

อยากอบรม จป หัวหน้างานแบบออนไลน์ ทำอย่างไรดี ในปัจจุบันการอบรมความปลอดภัยในระดับต่างๆได้มีการปรับปรุงหลักสูตรและข้อกฎหมายที่เกี่ยวข้องเกี่ยวกับความปลอดภัยและอาชีวอนามัยให้เป็นไปตามกฎกระทรวงฉบับล่าสุดปีพ.ศ 2565 หลักสูตรอบรม จป หัวหน้างาน ในรูปแบบออนไลน์ เป็นการออกแบบหลักสูตรที่รองรับเทคโนโลยีที่ทันสมัยให้ความสะดวกสบายต่อสถานประกอบการหรือนายจ้างได้

อยากอบรม จป หัวหน้างานแบบออนไลน์ต้องเลือกแบบไหนดี

  1. ควรเลือกบริษัทที่มีความน่าเชื่อถือและประสบการณ์โดยตรง

ความน่าเชื่อถือสามารถสร้างขึ้นได้จากประวัติการทำงานและประสบการณ์โดยตรงในรูปแบบผลงานที่ผ่านมาของบริษัท ซึ่งความน่าเชื่อถือที่ได้สามารถสร้างความไว้ใจจากลูกค้าที่มีชื่อเสียง นายจ้างหรือสถานประกอบการควรเลือกบริษัทที่มีประสบการณ์โดยตรงนั่นเอง

  1. ควรเลือกบริษัทที่มีหลักสูตรมาตรฐานการอบรมและใบรับรอง

การเลือกบริษัทที่ให้บริการอบรมหลักสูตรความปลอดภัยในระดับต่างๆ นายจ้างหรือสถานประกอบกิจการควรเลือกบริษัทที่มีหลักสูตรที่ได้มาตรฐานและใบรับรองมาตรฐาน ISO 9001 ที่ออกให้อย่างเป็นทางการจากกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน

  1. มีหน้าร้านหรือเว็บไซต์อย่างเป็นทางการ

บริษัทที่ให้บริการอบรมในด้านความปลอดภัยและอาชีวอนามัย จำเป็นต้องมีหน้าร้านหรือเว็บไซต์อย่างเป็นทางการ เป็นการสร้างความน่าเชื่อถือโดยเฉพาะมียอดวิวหรือรายละเอียดของลูกค้าที่ผ่านมา มีการแสดงราคาของค่าอบรม จป หัวหน้างาน อย่างชัดเจนตรงไปตรงมา

อยากอบรม จป หัวหน้างาน แบบออนไลน์ ทำไงดี และมีผลดีต่อนายจ้างอย่างไร

  • นายจ้างหรือสถานประกอบกิจการมีการจัดอบรมให้ การอบรมจปหัวหน้างานออนไลน์ สามารถอบรมด้วยการสะสมจำนวนชั่วโมงได้ ช่วยป้องกันผลกระทบต่องานประจำที่ทำอยู่น้อยลง นอกจากนี้การอบรมจปหัวหน้างานแบบออนไลน์สามารถช่วยให้นายจ้าง ลดค่าใช้จ่ายเพิ่มเติมหากเทียบกับการจัดอบรมนอกบริษัทได้อีกด้วย
  • นายจ้างหรือสถานประกอบการต้องมีการจัดเตรียมสถานที่อบรมให้ชัดเจน การอบรมภายในสามารถลดค่าใช้จ่ายให้กับนายจ้างหรือสถานประกอบกิจการรวมถึงสามารถใช้อุปกรณ์เครื่องมือสำนักงานช่วยในการอบรมได้อย่างเต็มประสิทธิภาพโดยเฉพาะการใช้โปรแกรมออนไลน์ซูม เข้าอบรมได้ครั้งละจำนวนมาก
  • มีส่วนลดให้เป็นกรณีพิเศษเมื่อใช้บริการอบรมจปหัวหน้างานแบบออนไลน์ การจองหรือการซื้อแพคเกจอบรมความปลอดภัยและอาชีวอนามัยในหลักสูตรต่างๆ บางบริษัทมีส่วนลดให้สูงสุดถึง 40% เลยทีเดียว
  • เมื่ออบรม จป หัวหน้างานออนไลน์ เสร็จสิ้นแล้วมีวุฒิบัตรมอบให้ใช้งานได้จริง เมื่ออบรมจบครบหลักสูตรอย่างสมบูรณ์ สามารถนำไปขึ้นทะเบียนจประดับหัวหน้างาน และมีวุฒิบัตรมอบให้ใช้งานได้จริงอีกด้วย

การอบรม จป หัวหน้างานมีทั้งหมด 3 ขั้นตอนก่อนเป็น จป หัวหน้างาน แบบเต็มตัวได้คือ  นายจ้างหรือสถานประกอบกิจการมีการคัดเลือกหรือแต่งตั้งให้เป็น จป หัวหน้างาน,นายจ้างมีการแต่งตั้ง โดยตำแหน่งหัวหน้างานแล้วมีการส่งเข้าหลักสูตรอยากอบรม จป หัวหน้างาน ,และนายจ้างหรือสถานประกอบกิจการยื่นการขึ้นทะเบียนจปหัวหน้างานให้กับกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงานภายในพื้นที่นั้นๆ การอบรมในรูปแบบออนไลน์จึงมีความสำคัญและได้รับความนิยมมากขึ้นในปัจจุบัน ให้ความสะดวกสบายต่อผู้ที่เข้าร่วมอบรมและช่วยลดค่าใช้จ่ายและลดหย่อนภาษีได้ให้กับนายจ้างหรือสถานประกอบการได้ดีอีกด้วย

รองเท้านักเรียน
รองเท้านักเรียนยี่ห้อไหนดี 2023

รองเท้านักเรียน เป็นหนึ่งในรูปแบบของเครื่องแบบนักเรียนที่จะต้องสวมใส่อยู่เสมอ เป็นส่วนที่ใช้งานหนัก เพราะต้องถูกสวมใส่ตลอดทั้งวันที่ใช้ชีวิตอยู่ในรั้วโรงเรียน ซึ่งถ้าจะให้ดีต้องรองรับกับสรีระของผู้สวมใส่ ไม่ปวดเท้า  รองเท้าแต่ละคู่นั้นมีความแตกต่างกันอยู่มาก ไม่ว่าจะเป็นดีไซน์ ที่อาจจะเหมาะสำหรับคนหน้าเท้าแคบหรือกว้างแตกต่างกันไป นอกจากนี้ยังมีเรื่องของพื้นรองเท้า ว่าเป็นแบบพื้นนุ่ม หรือเสริมพื้นรองเท้า ซึ่งทั้งหมดนี้การเลือกรองเท้าให้เหมาะกับผู้ที่สวมใส่จึงเป็นสิ่งที่สำคัญมากที่สุดนั่นเอง 

รองเท้านักเรียนยี่ห้อไหนดี 2023 

POPTEEN

ยี่ห้อรองเท้านักเรียนหญิงที่ได้ยินกันมานาน มีคุณสมบัติในเรื่องความแข็งแรง ทนทาน และมีอายุการใช้งานที่ยาวนาน โดย Popteen ก็มีการพัฒนารองเท้ารุ่นใหม่ที่มีความยืดหยุ่นสูง ดังนั้นไม่ว่าน้อง ๆ หนู ๆ จะสวมใส่ในขณะเดิน วิ่ง หรืออยู่ในกิจกรรมไหน ๆ ก็สวมใส่กระชับและพอดีเท้าแต่ไม่ทำให้รู้สึกบีบรัดเท้ามากจนเกินไป นอกจากนี้ยังทำความสะอาดได้ง่าย ผู้ปกครองคนไหนกลัวว่าน้อง ๆ หนู ๆ จะสวมใส่รองเท้านักเรียนไปเล่นจนเลอะเทอะก็ไม่ต้องกังวลว่าจะเกิดคราบฝังแน่นอีกต่อไป 

CATCHA

เป็นแบรนด์รองเท้านักเรียนที่ได้รับความนิยมไม่น้อยกับโก้ตัวล็อกสายคาดที่ทำจากโลหะรูปหัวใจนั้น มีการเพิ่มความน่ารักด้วยจี้ห้อยรูปแมว เอกลักษณ์ของรองเท้านักเรียนหญิง CATCHA ก็คือความเพรียวของเท้า ที่จะโอบกระชับกับรูปเท้าของผู้สวมใส่ จึงเหมาะกับน้อง ๆ ที่มีรูปเท้าเรียวยาว รองเท้าถูกออกแบบมาให้มีส้นที่บาง ตัวรองเท้าจึงมีน้ำหนักเบากว่ารุ่นทั่วไป พื้นด้านนอกทำจากยางสังเคราะห์พิเศษที่ยึดเกาะได้ดี ทำให้น้อง ๆ สวมใส่ทำกิจกรรมได้หลากหลายโดยไม่ปวดเกร็งเท้า ด้านในรองเท้าพิมพ์ลายเจ้าเหมียวสีม่วง สวมใส่สบายไม่มีตกเทรนด์ 

Bata รุ่น B-Cutie Butterfly

รองเท้านักเรียนหญิงแบบใหม่ ที่ออกแบบเสริมด้วยนวัตกรรม Life Material แบบเฉพาะของบาจา ที่ช่วยในเรื่องของการยับยั้งการเจริญเติบโตของแบคทีเรีย อันเป็นต้นเหตุของกลิ่นอับชื้น ตัวรองเท้ายังได้ผ่านการตัดเย็บมาอย่างดี พื้นรองเท้าด้านในเสริมด้วยแผ่นโฟมน้ำหนักเบา ยืดหยุ่น ให้ความนุ่มใส่สบาย มาพร้อมกับสายคาดรองเท้าแบบปรับได้ และยังมีตัวล็อคแบบหนีบทีาสวยเป็นเอกลักษณ์ ส่วนหัวรองเท้าก็มีความกลมมน ไม่บีบหน้าเท้า ใส่เดินสบายไร้ปัญหารองเท้ากัดอย่างแน่นอน

Gold City 

รองเท้านักเรียนผ้าใบสำหรับผู้ชาย เหมาะสำหรับใส่เรียน เล่นกีฬา หรือทำกิจกรรมต่าง ๆ ได้อย่างหลากหลาย เนื่องจากเป็นรองเท้าพื้นยางที่มีคุณสมบัติเกาะพื้นสูงและเหมาะกับทุกสภาพพื้นผิว นอกจากนี้ยังมีความยืดหยุ่น เมื่อสวมใส่แล้วทำให้รู้สึกกระชับเท้าอยู่ตลอดเวลา ไม่ต้องกังวลว่าเมื่อใส่วิ่ง หรือทำกิจกรรมต่าง ๆ แล้วรองเท้าจะลื่นหลุดออกจากเท้าได้โดยง่าย และที่สำคัญยังมาพร้อมกับราคาที่ไม่แพงเรียกได้ว่าคุ้มค่ามาก

เป็นอย่างไรกันบ้างกับยี่ห้อรองเท้านักเรียนที่ได้แนะนำในวันนี้ ใครที่ชื่นชอบหรือเป็นสาวกของแบรนด์ไหนก็สามารถเลือกซื้อได้เลยที่ LAZADA จัดส่งฟรีถึงหน้าบ้าน พร้อมไปโรงเรียนแน่นอน 

การเรียน
เทคนิคเติมไฟให้กับการเรียน

คิดว่าทุกคนก็คงจะเคยเป็น กับอารมณ์ที่จู่ๆก็รู้สึกเบื่อในสิ่งที่ทำ ในสิ่งที่เรียนอยู่ทั้งๆที่สิ่งนั้นเป็นสิ่งที่เราชอบ ซึ่งก็เป็นธรรมดา หากว่าเราเลือกชอบสิ่งนี้แต่ก็ไม่ใช่ทุกอย่างที่เราชอบ กรเรียนก็เช่นกัน เราเลือกคณะที่ใช่ ถูกใจมากๆ แต่ก็มีบางวิชาเรียนที่เราไม่ชอบเอาเสียเลย แถมภาระงานและสิ่งแวดล้อมที่บางครั้งก็ไม่เป็นใจให้เรา เลยทำให้เรารู้สึกท้อแท้ และหมดไฟกับการเรียนและการทำงานไปเลย วันนี้จะมาแนะนำเทคนิคการเติมไฟให้กับการเรียน

1.เปลี่ยนบรรยากาศ

แน่นอนว่าความซ้ำซากและจำเจทำให้เรารู้สึกเบื่อได้ง่ายๆ ดังนั้นลองหากิจกรรมและเปลี่ยนบรรยากาศ เช่นจากการอ่านหนังสือในหอสมุด ก็ลองเปลี่ยนเป็นอ่านที่คาเฟ่น่ารักๆ สักที่ หรือการติวร่วมกับเพื่อนคณะอื่นๆ ซึ่งเป็นเหมือนการเปิดโลกทัศน์ และมุมมองใหม่ๆของเรา ที่สามารถช่วยเติมไฟและสร้างแพชชั่นให้เราได้เป็นอย่างดี

2.ทบทวนตัวเอง

ทวบทวนว่า เป้าหมายและเหตุผลของการกระทำของเรานั้น ทำไปเพื่อจุดประสงค์อะไร หลายครั้งที่เรานั้นหมดไฟกับการททำสิ่งบางอย่างเพราะเรามีความรู้สึกว่า ไม่รู้จะทำมันไปทำไม  เช่น เราอาจจะตั้งใจเรียนเพื่อพ่อ แม่ คนในครอบครัว เพื่อสอบเข้าคณะที่เราอยากจะเข้า เพื่ออาชีพในฝันที่เราต้องการ  เมื่อไหร่ก็ตามที่เรานั้นท้อ ให้เรานึกถึงเหตุผลที่เรานั้นพยายาม

3.หาแรงบันดาลใจ 

สมัยนี้แรงบันดาลใจสามารถหาได้ง่ายมากๆ เพียงแค่หาวิดีโอในยูทูปที่ช่วยสร้างแรงบันดาลใจสักเรื่องขึ้นมา หรือไปฟัง talk ซึ่งการได้รับฟังทัศนคติที่ดีของใครสักคน จะช่วยสร้างแรงบันดาบใจได้เป็นอย่างดี จะฟังในเรื่องราวของการเรียนที่เราเรียนอยู่ หรือเปิดฟังมุมมองอื่นๆ จะทำให้เรารู้สึกมพลังดีๆ มากยิ่งขึ้น

4.ปรับทัศนคติและมุมมองให้ดีขึ้น

ทัศนคติและมุมมองเป็นสิ่งสำคัญในการใช้ชีวิต หากเมื่อไหร่ที่รู้เหนื่อย ท้อ หมดไฟกับการทำอะไรบางอย่าง ลองพยายามมองอุปสรรคต่างๆ เหล่านั้นให้เป็นเหมือนบทเรียนของชีวิตที่จะต้องก้าวข้ามไปให้ได้ หรือบางอย่างที่ไม่สามารถควบคุมได้ก็ลองปล่อยไป เราเป็นมนุษย์มีความรู้สึกนึกคิด เหนื่อยก็พัก หายเหนื่อยแล้วค่อยกลับมาสู้ต่อ ไม่สายเกินไปหรอก

5.ลองคิดทบทวนว่าถ้าเราไม่ทำ แล้อนาคตจะเป็นอย่างไร

นึกง่ายๆ เลย เช่นหากเราทำไม่ทำการบ้าน เราก็ไม่มีงานส่ง ซึ่งเราก็จะไม่ได้คะแนน ถ้าเราไม่ทำงาน เราก็จะไม่ได้รับเงินที่เป็นผลตอบแทน ดังนั้นลองคิดทบทวนว่าถ้าเราไม่ทำในตอนนี้จะส่งผลเสียต่ออนาคตแล้วเราจะเสียใจหรือไม่ เพราะเราเองก็คงไม่อยากจะพูดคำว่า ตอนนั้นไม่น่าทำแบบนั้นเลยใช่ไหม แต่การทำในที่นี้จะต้องอยู่บนพื้นฐานของความสุข ดังนั้นคุณควรจะทบควนตัวเองและลองทำตามลำดับข้อข้างบนมาก่อน ก็อาจจะทำให้คุณมีไฟในการทำงาน การเรียนต่อไปได้ 

เรียนอย่างไรให้มีความสุข
เรียนอย่างไรให้มีความสุข

สำหรับน้องๆ นักเรียน นักศึกษา การเรียนก็คงเป็นกิจวัตรที่สำคัญที่เราจะต้องทำให้ทุกๆ วัน  แม้แต่วันพักผ่อน บางคนก็ยังต้องไปเรียนเสริม เรียนพิเศษ เพื่อให้ได้ความรู้เพิ่มเติมนอกเหนือจากในห้องเรียน ซึ่งในบางครั้งการทำRoutine เดิมๆ ซ้ำๆ อาจทำให้เรารู้สึกเบื่อ และเริ่มไม่มีความสุขในการเรียน ส่งผลให้การเรียนของเรานั้นไม่ประสบผลสำเร็จ แล้วจะทำอย่างไรให้เรารู้สึกมีความสุข และทำเรื่องเดิมๆ ได้อย่างสนุกและไม่เบื่อ วันนี้มาดูกันกับเรียนอย่างไรให้มีความสุข

1.สดชื่นอยู่เสมอ 

การพักผ่อนให้เพียงพอเป็นสิ่งสำคัญมากสำหรับวัยเรียน วัยศึกษา เพราะการพักผ่อนที่เพียงพอจะทำให้เรารู้สึกมีพลัง เราดูสดชื่น สดใส และสมองโล่งโปร่งพร้อมรับความรู้อยู่ตลอดเวลา ดังนั้นแบ่งเวลาให้เหมาะสมสำหรับการทำการบ้าน การเล่น และการนอนหลับ 

2.แบ่งเวลาทำกิจกรรมอื่นๆ 

แน่นอนว่าการกดดันตัวเอง ให้ทำแต่สิ่งเดิมๆ จะทำให้เรารู้สึกเบื่อได้ง่าย ดังนั้นลองหาเวลาพักผ่อนและทำกิจกรรมอื่นๆ เพิ่ม เพื่อผ่อนคลายจากการเรียน หรืออ่านหนังสือ  เพื่อให้สมองได้เกิดการพักผ่อน ได้รู้สึกผ่อนคลาย และไม่เป็นการกดดันตัวเอง แต่ต้องระวังในเรื่องของเวลา ให้จัดการอย่างเหมาะสม อย่าเล่นจนเพลินแล้วลืมเรียนกันล่ะ

3.ทบทวนบทเรียนเรื่อยๆ 

ในการเรียน แน่นอนว่าจะต้องมีสอบเพื่อวัดผลของการเรียนอยู่เสมอ เมื่อถึงช่วงของการสอบ ก็จะสอบทุกวิชา การทบทวนบทเรียน หรืออ่านหนังสือในช่วงสอบทีเดียวก็คงจะไม่ทัน และความรู้แต่ละวิชาก็จะตีปนกันไปหมด ดังนั้น แนะนำให้ทบทวนบทเรียนไปเรื่อยๆ เช่น วันนี้เรียนอะไรบ้างให้ทบทวนเรื่อยๆ วันละเล็กละน้อย ทำความเข้าใจกับบทเรียน ดีกว่าการอัดอ่านหนังสือรวดเดียว 1 วันก่อนสอบ เพราะการทำวิธีนี้นอกจากจะเป็นการกดดันตัวเองแล้ว ยังทำให้ไม่สามารถจดจำบทเรียนต่าง ๆ ได้อย่างแม่นยำอีกด้วย

4.ลองหากิจกรรมนอกห้องเรียนร่วมกับผู้อื่น

ในโรงเรียนหรือมหาวิทยาลัย ก็มักจะมีชมรมต่างๆ รวมถึงการเล่นกีฬาหลังเลิกเรียน โดยสามารถเลือกชมรมที่คุณรู้สึกชื่นชอบและสนใจ หรือกีฬาที่อยากจะเล่น เพื่อผ่อนคลายหลังจากการเรียนที่หนักหน่วง แถมยังได้เพื่อนใหม่ ได้แลกเปลี่ยนความรู้ มุมมองใหม่ๆ อีกด้วย และอาจจะเป็นแรงกระตุ้น ทำให้เรามีพลังในการเรียนด้วย

5.ห้ามดูถูกตัวเอง 

การดูถูกตัวเอง เป็นสิ่งที่จะทำให้คุณรู้สึกหมดหวังและหมดไฟได้อย่างง่ายๆ อย่าคิดว่าทำไม่ได้ ถ้าไม่ได้ลอง การที่จะประสบความสำเร็จในเรื่องใดเรื่องหนึ่งได้ สิ่งแรกที่ต้องทำก็คือเชื่อ เชื่อว่าเราสามารถทำได้ เพราะถ้าคิดได้อย่างนี้ชัยชนะก็อยู่แค่เอื้อม เรื่องของการเรียนก็เหมือนกัน ถ้าเราเชื่อว่าทำได้ ก็ไม่มีอะไรเกินความสามารถของตนเอง

ธรรมชาติของการเรียนรู้
ธรรมชาติของการเรียนรู้

การเรียนรู้เป็นกระบวนการการเกิดการเรียนรู้ของบุคคลโดยจะมีกระบวนการของการเรียนรู้จากการไม่รู้ไปสู่การเรียนรู้ 5 ขั้นตอน คือ

  1. มีสิ่งเร้ามากระตุ้นบุคคล
  2. บุคคลสัมผัสสิ่งเร้าด้วยประสาททั้ง 5
  3. บุคคลแปลความหมายหรือรับรู้สิ่งเร้า
  4. บุคคลมีปฏิกิริยาตอบสนองอย่างใดอย่างหนึ่งต่อสิ่งเร้าตามที่รับรู้
  5. บุคคลประเมินผลที่เกิดจากการตอบสนองต่อสิ่งเร้า

การเรียนรู้เริ่มเกิดขึ้นเมื่อมีสิ่งเร้า (Stimulus) มากระตุ้นบุคคล ระบบประสาทจะตื่นตัวเกิดการรับสัมผัส (Sensation) ด้วยประสาทสัมผัสทั้ง 5 แล้วส่งกระแสประสาทไปยังสมองเพื่อแปลความหมายโดยอาศัยประสบการณ์เดิมเป็นการรับรู้ (Perception)ใหม่ อาจสอดคล้องหรือแตกต่างไปจากประสบการณ์เดิม แล้วสรุปผลของการรับรู้นั้น เป็นความเข้าใจหรือความคิดรวบยอด (Concept) และมีปฏิกิริยาตอบสนอง (Response) อย่างใดอย่างหนึ่งต่อสิ่งเร้า ตามที่รับรู้ซึ่งทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมแสดงว่า เกิดการเรียนรู้แล้ว

การเรียนรู้เกิดได้ง่าย ถ้าสิ่งที่เรียนเป็นสิ่งที่มีความหมายต่อผู้เรียน การเรียนสิ่งที่มีความหมายต่อผู้เรียน คือ การเรียนในสิ่งที่ผู้เรียนต้องการจะเรียนหรือสนใจจะเรียน เหมาะกับวัยและวุฒิภาวะของผู้เรียนและเกิดประโยชน์แก่ผู้เรียน การเรียนในสิ่งที่มีความหมายต่อผู้เรียนย่อมทำให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้ได้ดีกว่าการเรียนในสิ่งที่ผู้เรียนไม่ต้องการหรือไม่สนใจ

การเรียนรู้แตกต่างกันตามตัวบุคคลและวิธีการในการเรียน ในการเรียนรู้สิ่งเดียวกัน บุคคลต่างกันอาจเรียนรู้ได้ไม่เท่ากันเพราะบุคคลอาจมีความพร้อมต่างกัน มีความสามารถในการเรียนต่างกัน มีอารมณ์และความสนใจที่จะเรียนต่างกันและมีความรู้เดิมหรือประสบการณ์เดิมที่เกี่ยวข้องกับสิ่งที่จะเรียนต่างกัน ในการเรียนรู้สิ่งเดียวกัน ถ้าใช้วิธีเรียนต่างกัน ผลของการเรียนรู้อาจมากน้อยต่างกันได้ และวิธีที่ทำให้เกิดการเรียนรู้ได้มากสำหรับบุคคลหนึ่งอาจไม่ใช่วิธีเรียนที่ทำให้อีกบุคคลหนึ่งเกิดการเรียนรู้ได้มากเท่ากับบุคคลนั้นก็ได้

การถ่ายโยงการเรียนรู้

การถ่ายโยงการเรียนรู้เกิดขึ้นได้ 2 ลักษณะ คือ การถ่ายโยงการเรียนรู้ทางบวก (Positive Transfer) และการถ่ายโยงการเรียนรู้ทางลบ (Negative Transfer)

  1. การถ่ายโยงการเรียนรู้ทางบวก (Positive Transfer) คือ การถ่ายโยงการเรียนรู้ชนิดที่ผลของการเรียนรู้งานหนึ่งช่วยให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้อีกงานหนึ่งได้เร็วขึ้น ง่ายขึ้น หรือดีขึ้น การถ่ายโยงการเรียนรู้ทางบวก มักเกิดจาก เมื่องานหนึ่ง มีความคล้ายคลึงกับอีกงานหนึ่ง และผู้เรียนเกิดการเรียนรู้งานแรกอย่างแจ่มแจ้งแล้ว
  2. การถ่ายโยงการเรียนรู้ทางลบ (Negative Transfer) คือการถ่ายโยงการเรียนรู้ชนิดที่ผลการเรียนรู้งานหนึ่งไปขัดขวางทำให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้อีกงานหนึ่งได้ช้าลง หรือยากขึ้นและไม่ได้ดีเท่าที่ควร การถ่ายโยงการเรียนรู้ทางลบ อาจเกิดขึ้นได้ 2 แบบ คือ
  • แบบตามรบกวน (Proactive Inhibition) ผลของการเรียนรู้งานแรกไปขัดขวางการเรียนรู้งานที่ 2
  • แบบย้อนรบกวน (Retroactive Inhibition) ผลการเรียนรู้งานที่ 2 ทำให้การเรียนรู้งานแรกน้อยลง

การเกิดการเรียนรู้ทางลบมักเกิดจากเมื่องาน 2 อย่างคล้ายกันมาก แต่ผู้เรียนยังไม่เกิดการเรียนรู้งานใดงานหนึ่งอย่างแท้จริงก่อนที่จะเรียนอีกงานหนึ่ง ทำให้การเรียนงาน 2 อย่างในเวลาใกล้เคียงกันเกิดความสับสน เมื่อผู้เรียนต้องเรียนรู้งานหลายๆ อย่างในเวลาติดต่อกัน ผลของการเรียนรู้งานหนึ่งอาจไปทำให้ผู้เรียนเกิดความสับสนในการเรียนรู้อีกงานหนึ่งได้ เป็นต้น